2.1
หอศิลป์ที่สำคัญของประเทศไทย
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ได้เริ่มขึ้นจาก ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าราชการในสมัยนั้น
มีมติให้กรุงเทพมหานครจัดร้างหอศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงเทพมหานคร
เพื่อให้มีหอศิลป์ที่ทัดเทียมกับสากลและเป็นหน้าเป็นตากับประเทศรวมทั้งเพื่อให้สังคมมีแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรม
แต่โครงการก็ต้องมาสะดุดลงเมื่อมีการล้มเลิกโครงการหอศิลป์ตามรูปแบบเดิม
และเปลี่ยนให้เป็นอาคารพาณิชย์
พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงจากเดิมกรุงเทพมหานครเป็นผู้ลงทุน
มาเป็นให้เอกชนสร้างองค์กรด้านศิลปะ จนศิลปิน อาจารย์ นักศึกษาและสื่อมวลชน
ได้ร่วมกันดำเนินการคัดด้านเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้ทบทวนโครงการ
จนกระทั่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2547 เครือข่ายศิลปินและประชาชนจึงได้นำโครงการหอศิลป์เข้าหารือและได้รับการพิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการจัดสร้าง
นับเป็นเวลาถึง 10 ปีกว่าที่หอศิลป์แห่งนี้จะสำเร็จลุล่วงได้
การแสดงผลงาน
: แบ่งการจัดแสดงออกเป็นทั้งหมด
9 ชั้น คือ ชั้น 1
การออกร้านจากสถาบันการศึกษาทางศิลปะและดนตรีชั้นนำ, ชั้น 2 ร้านหนังสือที่คัดสรรพิเศษและแตกต่าง
รวมทั้งหนังสือหายาก หนังสือทำมือ
และภาพยนตร์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยหอภาพยนตร์แห่งชิตและมูลนิธิ, ชั้น 3 งานหัตถกรรมจากโครงการในพระราชดำริ, ชั้น 4 จัดแสดงภาพถ่ายของสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศ
และทัศนศิลป์ร่วมสมัยจากกลุ่มแกลลอรี่ชั้นนำ, 5 สำหรับการประชุม
ฉายภาพยนตร์ การแสดงดนตรี ละครเวที อบรม เสวนา และการแสดงต่าง ๆ, ชั้น 7-9 ที่จัดแสดงงานทัศนศิลป์
หอศิลป์ร่วมสมัยอาร์เดล
จัดแสดงนิทรรศการและดำเนินกิจกรรมทางศิลปะมาตลอดระยะเวลา 4 ปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา
โดยมุ่งเน้นถึงความหลากหลายทางความคิดและการนำเสนอคุณค่าของานศิลปะในทุกรูปแบบ
ทั้งศิลปินที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและศิลปินรุ่นใหม่ นอกเหนือจากการจัดแสดงนิทรรศการทางศิลปะแล้ว
อาร์เดลยังจัดกิจกรรมทางศิลปะที่เป็นประโยชน์
ทั้งในแง่ของการส่งเสริมองค์ความรู้ต่าง ๆ
และการแลกเปลี่ยนถ่ายเทความรู้ประสบการณ์ระหว่างกันของหอศิลป์ ศิลปิน นักวิชาการ
นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจ ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้เกิดแหล่งเรียนรู้ทางศิลปะที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย
การแสดงผลงาน
: จัดการแสงนิทรรศการเกี่ยวกับงานศิลปะทุกแขนง
ที่ตั้ง : มาจากสะพานปิ่นเกล้าหรือพระราม 8 ให้ใช้ทางคู่ขนาดลอยฟ้า
แล้วมาลงที่ทางลง"บางแคบางบัวทอง" ลงมาแล้วชิดซ้ายเข้าถนนคู่ขนาน ตรงไปเรื่อย ๆ
เมื่อเลยทางเข้าถนนพุทธมณฑลสาย 2 ให้ลอดใต้สะพาน
ชิดซ้ายขึ้นสะพานข้ามถนนบรมราชชนนี เพื่อกลับรถมาฝั่งขาเข้า
ขับตรงไปตามทางคู่ขนานจนเห็นปั๊มคาลเท็กซ์ ให้ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวเข้าหมู่บ้านชื่อ "เบลเลอวิว" เมื่อเลี้ยวเขาไปจะเห็นหอศิลป์
อาร์ตกอริลล่าส์ อาร์ตแกลลอรี่ เป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะเล็ก ๆ
ที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่รักในงานศิลปะตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ.2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่อสังคมด้วยงานศิลปะ
มุ่งเน้นการเปิดโอกาสและส่งเสริมให้กลุ่มคนทำงานศิลปะรุ่นเยาว์ได้มีโอกาสได้นำเสนอผลงานสู่ผู้ชมได้มากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ศิลปะทางเลือกสำหรับศิลปินรุ่นใหญ่อีกด้วย
การแสดงผลงาน : มีการจัดแสดงศิลปะแนวร่วมสมัยหลากหลายแขนง
ทั้งภาพวาดภาพเขียน ประติมากรรม ศิลปะสื่อผสม ศิลปะการจัดวาง รวมไปถึงงานเรขาศิลป์
มีทั้งงานแสดงถาวรและงานที่ผลัดเปลี่ยนกันทุกเดือน
2.2 หอศิลป์แห่งแรกในประเทศไทย
ประวัติความเป็นมา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
หอศิลป์ ตั้งอยู่บนถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร ในอดีตเป็นสถานที่ตั้งพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้า
(กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) มาแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช จนเป็นที่มาของชื่อ “ถนนเจ้าฟ้า” ในปัจจุบันต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงงานผลิตเงินเหรียญแห่งใหม่ที่มีความทันสมัย โดยเลือกพื้นที่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิม ใกล้วัดชนะสงคราม ดั้งนั้นจึงต้องรื้อถอนพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ และพระราชทานเงินค่ารื้อถอนและสร้างวังใหม่ให้แก่เจ้านายทุกพระองค์ เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเหรียญดังกล่าว ซึ่งเมื่อสร้างแล้วเสร็จ ได้รับพระราชทานนามว่า “โรงกษาปณ์สิทธิการ” โรงงานกษาปณ์สิทธิการ สร้างขึ้นตามลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตก โดย
สถาปนิกชาวอิตาเลียนประจำราชสำนักสยามเป็นผู้ออกแบบ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากโรงงานเครื่องจักรที่เมืองเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษ มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมคือ อาคารหลักด้านหน้าเป็นทรงปั้นหยา สูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าว สองข้างอาคารหลักต่อเป็นปีกทอดยาว เป็นอาคารชั้นเดียวหักมุมฉากสี่ด้านบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เชื่อมต่อกัน บริเวณสันหลังคา เชิงชาย ช่องบานประตู หน้าต่างประดับด้วยลวดลายฉลุไม้อย่างงดงาม การก่อสร้างโรงงานกษาปณ์สิทธิการเสร็จสมบูรณ์และเริ่มดำเนินการผลิตเหรียญครั้งแรกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445 ใช้งานเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2511 กรมธนารักษ์จึงได้ย้ายไปสร้างโรงงานแห่งใหม่ โรงกษาปณ์สิทธิการจึงร้างลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในวาระครบรอบ 100 ปี การพิพิธภัณฑ์ไทย (พ.ศ.2517) กรมศิลปากรได้ริเริ่มโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถาน ประเภทศิลปะสมัยใหม่ จึงได้เสนอขอใช้โรงกษาปณ์สิทธิการ เพื่อปรับปรุงให้เป็นหอศิลป์ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้อนุมัติมอบอาคารแห่งนี้ให้กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2517 เพื่อจัดตั้งเป็น “หอศิลป์แห่งชาติ” โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเป็นสถานที่เก็บรวบรวมและจัดแสดงผลงานศิลปกรรมประเภททัศนศิลป์ของ ศิลปินผู้มีชื่อเสียงทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดจนเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับศิลปกรรมทั้งแบบไทย ประเพณีและร่วมสมัย พิธีเปิดหอศิลป์แห่งชาติอย่างเป็นทางการมีขึ้นในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2520 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
หลังจากนั้นไม่นาน หอศิลป์แห่งชาติได้ปิดปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อให้ตรงตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พ.ศ.2504 ว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์” และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2521 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2526 กรมธนารักษ์ได้มอบอาคารและที่ดินบางส่วนให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ทำให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นทั้งสามารถดำเนินการปรับปรุงขยายพื้นที่อาคารจัดแสดง เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการแก่ศิลปินตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้เข้าชมได้อย่างครบถ้วนตามหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะระดับชาติดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มหาราช จนเป็นที่มาของชื่อ “ถนนเจ้าฟ้า” ในปัจจุบันต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงงานผลิตเงินเหรียญแห่งใหม่ที่มีความทันสมัย โดยเลือกพื้นที่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิม ใกล้วัดชนะสงคราม ดั้งนั้นจึงต้องรื้อถอนพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ และพระราชทานเงินค่ารื้อถอนและสร้างวังใหม่ให้แก่เจ้านายทุกพระองค์ เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเหรียญดังกล่าว ซึ่งเมื่อสร้างแล้วเสร็จ ได้รับพระราชทานนามว่า “โรงกษาปณ์สิทธิการ” โรงงานกษาปณ์สิทธิการ สร้างขึ้นตามลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตก โดย
สถาปนิกชาวอิตาเลียนประจำราชสำนักสยามเป็นผู้ออกแบบ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากโรงงานเครื่องจักรที่เมืองเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษ มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมคือ อาคารหลักด้านหน้าเป็นทรงปั้นหยา สูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าว สองข้างอาคารหลักต่อเป็นปีกทอดยาว เป็นอาคารชั้นเดียวหักมุมฉากสี่ด้านบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เชื่อมต่อกัน บริเวณสันหลังคา เชิงชาย ช่องบานประตู หน้าต่างประดับด้วยลวดลายฉลุไม้อย่างงดงาม การก่อสร้างโรงงานกษาปณ์สิทธิการเสร็จสมบูรณ์และเริ่มดำเนินการผลิตเหรียญครั้งแรกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445 ใช้งานเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2511 กรมธนารักษ์จึงได้ย้ายไปสร้างโรงงานแห่งใหม่ โรงกษาปณ์สิทธิการจึงร้างลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในวาระครบรอบ 100 ปี การพิพิธภัณฑ์ไทย (พ.ศ.2517) กรมศิลปากรได้ริเริ่มโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถาน ประเภทศิลปะสมัยใหม่ จึงได้เสนอขอใช้โรงกษาปณ์สิทธิการ เพื่อปรับปรุงให้เป็นหอศิลป์ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้อนุมัติมอบอาคารแห่งนี้ให้กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2517 เพื่อจัดตั้งเป็น “หอศิลป์แห่งชาติ” โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเป็นสถานที่เก็บรวบรวมและจัดแสดงผลงานศิลปกรรมประเภททัศนศิลป์ของ ศิลปินผู้มีชื่อเสียงทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดจนเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับศิลปกรรมทั้งแบบไทย ประเพณีและร่วมสมัย พิธีเปิดหอศิลป์แห่งชาติอย่างเป็นทางการมีขึ้นในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2520 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
หลังจากนั้นไม่นาน หอศิลป์แห่งชาติได้ปิดปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อให้ตรงตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พ.ศ.2504 ว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์” และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2521 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2526 กรมธนารักษ์ได้มอบอาคารและที่ดินบางส่วนให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ทำให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นทั้งสามารถดำเนินการปรับปรุงขยายพื้นที่อาคารจัดแสดง เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการแก่ศิลปินตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้เข้าชมได้อย่างครบถ้วนตามหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะระดับชาติดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
2.3หอศิลป์เพื่อมวลชน
นับเป็นเวลา 10 ปี หอศิลป์ฯ
ต้องใช้เวลาเดินทาง ผ่านการผลักดันและรณรงค์อย่าง เข้มข้น จนในที่สุด
อาคารหอศิลป์ฯ ก็เกิดขึ้น ณ สี่แยกปทุมวัน อันเป็นผลสืบเนื่อง
มาจากความร่วมมือครั้งสำคัญในการส่งเสริมศิลปะระหว่างกรุงเทพมหานครและ
เครือข่ายประชาชนเพื่อหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร การเดินทาง สู่การ
รับรู้ศิลปะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว อาคารงดงามแห่งนี้เป็นเสมือนจุดนัดพบทาง
ปัญญา ศิลปะเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและชื่นชมง่าย ทุกคนสามารถมารวมตัวกันเพื่อร่วม
กิจกรรมด้านศิลปะอันหลากหลาย นิทรรศการหมุนเวียน ดนตรี กวี ละคร ภาพยนตร์ เสวนา
และวรรณกรรม เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการเรียนรู้ นำไปสู่ความเจริญ ทางปัญญา
สุขภาพทางใจ และการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ต่อไป
Sands Casino Hotel and Casino
ตอบลบExplore the Sands Casino Hotel 샌즈카지노 and Casino, Atlantic City's premier integrated gaming resort. Nestled among the beauty worrione of the Sierra Nevada and the beauty of Restaurants · Shows 바카라사이트 · Entertainment