วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ใครจะได้ประโยชน์เมื่อมีหอศิลป์
ใครจะได้ประโยชน์เมื่อมีหอศิลป์

            “ทุกวันนี้ผู้คนไม่ค่อยมีทางเลือกที่จะไปไหน คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ถูกละเลย รูปแบบของการนันทนาการไม่พอเพียงคนกรุงเทพฯ ขาดอาหารทางสมองและจิตใจ เยาวชนไม่มีทางเลือกที่จะไปใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ความสนุกเพลิดเพลินของเยาวชนไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ที่ศูนย์การค้ากับแหล่งบันเทิงเท่านั้น การมีโอกาสที่จะใช้เวลาในหอศิลปบ้างก็จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาผู้ที่จะเป็นอนาคตของชาติ เยาวชนจะได้รับและสัมผัสสิ่งที่มีคุณค่าทางสุนทรีย์ สิ่งแปลกใหม่ได้รับการฝึกทักษะในการมอง การสังเกต เข้าใจในกระบวนการสร้างสรรค์ และได้รับความรู้ทางวัฒนธรรม




2.1 หอศิลป์ที่สำคัญของประเทศไทย
       หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ได้เริ่มขึ้นจาก ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าราชการในสมัยนั้น มีมติให้กรุงเทพมหานครจัดร้างหอศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อให้มีหอศิลป์ที่ทัดเทียมกับสากลและเป็นหน้าเป็นตากับประเทศรวมทั้งเพื่อให้สังคมมีแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรม แต่โครงการก็ต้องมาสะดุดลงเมื่อมีการล้มเลิกโครงการหอศิลป์ตามรูปแบบเดิม และเปลี่ยนให้เป็นอาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงจากเดิมกรุงเทพมหานครเป็นผู้ลงทุน มาเป็นให้เอกชนสร้างองค์กรด้านศิลปะ จนศิลปิน อาจารย์ นักศึกษาและสื่อมวลชน ได้ร่วมกันดำเนินการคัดด้านเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้ทบทวนโครงการ
        จนกระทั่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2547 เครือข่ายศิลปินและประชาชนจึงได้นำโครงการหอศิลป์เข้าหารือและได้รับการพิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการจัดสร้าง นับเป็นเวลาถึง 10 ปีกว่าที่หอศิลป์แห่งนี้จะสำเร็จลุล่วงได้
    การแสดงผลงาน : แบ่งการจัดแสดงออกเป็นทั้งหมด 9 ชั้น คือ ชั้น 1 การออกร้านจากสถาบันการศึกษาทางศิลปะและดนตรีชั้นนำ, ชั้น 2 ร้านหนังสือที่คัดสรรพิเศษและแตกต่าง รวมทั้งหนังสือหายาก หนังสือทำมือ และภาพยนตร์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยหอภาพยนตร์แห่งชิตและมูลนิธิ, ชั้น 3 งานหัตถกรรมจากโครงการในพระราชดำริ, ชั้น 4 จัดแสดงภาพถ่ายของสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศ และทัศนศิลป์ร่วมสมัยจากกลุ่มแกลลอรี่ชั้นนำ, 5 สำหรับการประชุม ฉายภาพยนตร์ การแสดงดนตรี ละครเวที อบรม เสวนา และการแสดงต่าง ๆ, ชั้น 7-9 ที่จัดแสดงงานทัศนศิลป์

      หอศิลป์ร่วมสมัยอาร์เดล จัดแสดงนิทรรศการและดำเนินกิจกรรมทางศิลปะมาตลอดระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา โดยมุ่งเน้นถึงความหลากหลายทางความคิดและการนำเสนอคุณค่าของานศิลปะในทุกรูปแบบ ทั้งศิลปินที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและศิลปินรุ่นใหม่ นอกเหนือจากการจัดแสดงนิทรรศการทางศิลปะแล้ว อาร์เดลยังจัดกิจกรรมทางศิลปะที่เป็นประโยชน์ ทั้งในแง่ของการส่งเสริมองค์ความรู้ต่าง ๆ และการแลกเปลี่ยนถ่ายเทความรู้ประสบการณ์ระหว่างกันของหอศิลป์ ศิลปิน นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจ ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้เกิดแหล่งเรียนรู้ทางศิลปะที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย
     
    การแสดงผลงาน : จัดการแสงนิทรรศการเกี่ยวกับงานศิลปะทุกแขนง
          ที่ตั้ง : มาจากสะพานปิ่นเกล้าหรือพระราม 8 ให้ใช้ทางคู่ขนาดลอยฟ้า แล้วมาลงที่ทางลง"บางแคบางบัวทอง" ลงมาแล้วชิดซ้ายเข้าถนนคู่ขนาน ตรงไปเรื่อย ๆ เมื่อเลยทางเข้าถนนพุทธมณฑลสาย 2 ให้ลอดใต้สะพาน ชิดซ้ายขึ้นสะพานข้ามถนนบรมราชชนนี เพื่อกลับรถมาฝั่งขาเข้า ขับตรงไปตามทางคู่ขนานจนเห็นปั๊มคาลเท็กซ์ ให้ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวเข้าหมู่บ้านชื่อ "เบลเลอวิว" เมื่อเลี้ยวเขาไปจะเห็นหอศิลป์

   


           อาร์ตกอริลล่าส์ อาร์ตแกลลอรี่ เป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะเล็ก ๆ ที่ตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่รักในงานศิลปะตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ.2549 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่อสังคมด้วยงานศิลปะ มุ่งเน้นการเปิดโอกาสและส่งเสริมให้กลุ่มคนทำงานศิลปะรุ่นเยาว์ได้มีโอกาสได้นำเสนอผลงานสู่ผู้ชมได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ศิลปะทางเลือกสำหรับศิลปินรุ่นใหญ่อีกด้วย
          การแสดงผลงาน : มีการจัดแสดงศิลปะแนวร่วมสมัยหลากหลายแขนง ทั้งภาพวาดภาพเขียน ประติมากรรม ศิลปะสื่อผสม ศิลปะการจัดวาง รวมไปถึงงานเรขาศิลป์ มีทั้งงานแสดงถาวรและงานที่ผลัดเปลี่ยนกันทุกเดือน
2.2 หอศิลป์แห่งแรกในประเทศไทย
        ประวัติความเป็นมา  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ตั้งอยู่บนถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร ในอดีตเป็นสถานที่ตั้งพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้า (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) มาแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช จนเป็นที่มาของชื่อ ถนนเจ้าฟ้าในปัจจุบันต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงงานผลิตเงินเหรียญแห่งใหม่ที่มีความทันสมัย โดยเลือกพื้นที่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิม ใกล้วัดชนะสงคราม    ดั้งนั้นจึงต้องรื้อถอนพระตำหนักของเจ้านายฝ่ายวังหน้าที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ และพระราชทานเงินค่ารื้อถอนและสร้างวังใหม่ให้แก่เจ้านายทุกพระองค์ เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเหรียญดังกล่าว ซึ่งเมื่อสร้างแล้วเสร็จ  ได้รับพระราชทานนามว่า โรงกษาปณ์สิทธิการโรงงานกษาปณ์สิทธิการ สร้างขึ้นตามลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตก โดย  
สถาปนิกชาวอิตาเลียนประจำราชสำนักสยามเป็นผู้ออกแบบ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากโรงงานเครื่องจักรที่เมืองเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษ มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมคือ อาคารหลักด้านหน้าเป็นทรงปั้นหยา สูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องว่าว สองข้างอาคารหลักต่อเป็นปีกทอดยาว เป็นอาคารชั้นเดียวหักมุมฉากสี่ด้านบรรจบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เชื่อมต่อกัน บริเวณสันหลังคา เชิงชาย ช่องบานประตู หน้าต่างประดับด้วยลวดลายฉลุไม้อย่างงดงาม การก่อสร้างโรงงานกษาปณ์สิทธิการเสร็จสมบูรณ์และเริ่มดำเนินการผลิตเหรียญครั้งแรกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445  ใช้งานเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2511 กรมธนารักษ์จึงได้ย้ายไปสร้างโรงงานแห่งใหม่      โรงกษาปณ์สิทธิการจึงร้างลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในวาระครบรอบ 100 ปี การพิพิธภัณฑ์ไทย (พ.ศ.2517) กรมศิลปากรได้ริเริ่มโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถาน ประเภทศิลปะสมัยใหม่ จึงได้เสนอขอใช้โรงกษาปณ์สิทธิการ เพื่อปรับปรุงให้เป็นหอศิลป์ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้อนุมัติมอบอาคารแห่งนี้ให้กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2517 เพื่อจัดตั้งเป็น หอศิลป์แห่งชาติโดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเป็นสถานที่เก็บรวบรวมและจัดแสดงผลงานศิลปกรรมประเภททัศนศิลป์ของ ศิลปินผู้มีชื่อเสียงทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดจนเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับศิลปกรรมทั้งแบบไทย ประเพณีและร่วมสมัย พิธีเปิดหอศิลป์แห่งชาติอย่างเป็นทางการมีขึ้นในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2520  โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
หลังจากนั้นไม่นาน หอศิลป์แห่งชาติได้ปิดปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อให้ตรงตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พ.ศ.2504 ว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2521 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2526 กรมธนารักษ์ได้มอบอาคารและที่ดินบางส่วนให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ทำให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นทั้งสามารถดำเนินการปรับปรุงขยายพื้นที่อาคารจัดแสดง เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการแก่ศิลปินตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้เข้าชมได้อย่างครบถ้วนตามหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะระดับชาติดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน









2.3หอศิลป์เพื่อมวลชน
          นับเป็นเวลา 10 ปี หอศิลป์ฯ ต้องใช้เวลาเดินทาง ผ่านการผลักดันและรณรงค์อย่าง เข้มข้น จนในที่สุด อาคารหอศิลป์ฯ ก็เกิดขึ้น ณ สี่แยกปทุมวัน อันเป็นผลสืบเนื่อง มาจากความร่วมมือครั้งสำคัญในการส่งเสริมศิลปะระหว่างกรุงเทพมหานครและ เครือข่ายประชาชนเพื่อหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร การเดินทาง สู่การ รับรู้ศิลปะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว อาคารงดงามแห่งนี้เป็นเสมือนจุดนัดพบทาง ปัญญา ศิลปะเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและชื่นชมง่าย ทุกคนสามารถมารวมตัวกันเพื่อร่วม กิจกรรมด้านศิลปะอันหลากหลาย นิทรรศการหมุนเวียน ดนตรี กวี ละคร ภาพยนตร์ เสวนา และวรรณกรรม เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ในการเรียนรู้ นำไปสู่ความเจริญ ทางปัญญา สุขภาพทางใจ และการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ต่อไป


ความหมายของหอศิลป์

        หอศิลป์เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ หรือแหล่งศึกษาเกี่ยวกับศิลปะทุกแขนง  และยังได้รู้แหล่งที่มาของหอศิลป์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรด้วย

1.1 ความหมายของหอศิลป์
หอศิลป์ หรือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ เป็นบริเวณหรืออาคารที่ใช้ในการแสดงนิทรรศการศิลปะ หอศิลป์มีทั้งแบบที่เปิดให้เข้าชมในลักษณะสาธารณะ หรือหอศิลป์ส่วนตัวที่เปิดให้ชมเฉพาะบุคคลขึ้นอยู่กับการบริหารของเจ้าของอาคาร โดยส่วนมากหอศิลป์จะแสดงภาพเขียน โดยนอกเหนือจากนี้หอศิลป์ยังมีการแสดง ประติมากรรม เฟอร์นิเจอร์ ลายผ้า ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย อีกด้วย

หอศิลป์คืออะไร

           “หอศิลป์เป็นสถานที่ทำกิจกรรมด้านศิลปะ เป็นสถานที่รองรับศิลปิน นักออกแบบ ผู้สร้างภาพยนตร์ ฯลฯ สร้างผลงานความคิดสร้างสรรค์เสนอต่อประชาชน โดยผู้สร้างและผู้เสพมีจุดนัดพบที่หอศิลป เป็นกระบวนการและกลไกทางสังคม ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างวัฒนธรรม ในฐานะผู้เสพและเป็นผู้รับรู้ในผลงานศิลปะทำให้ได้มาซึ่งสติปัญญา มีความคิดเห็นทันกับสมัยหรือร่วมสมัย อาจกล่าวได้ว่าหอศิลปเป็นพื้นฐานการสร้างวัฒนธรรมโดยสมบูรณ์แบบ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้าง และประชาชนก็จะมีความเป็นเจ้าของวัฒนธรรม ส่วนที่จะเรียกว่า หอศิลปวัฒนธรรมนั้น ก็เป็นไปได้ เพราะคำว่าวัฒนธรรมในความเข้าใจของคนหลายคนนั้น มีความเป็นไทย หรือไทยประเพณี ถ้าเรานึกว่าหอศิลปนั้นจะเป็นที่นัดพบของคนทั่วไปก็ต้องเริ่มจากพื้นฐานคุณค่าที่มีแต่ดั้งเดิมและคุ้นกันอยู่ และทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับทั้งย้อนยุคและร่วมสมัยเป็นกระบวนการวัฒนธรรมที่มีความต่อเนื่อง



1.2ประวัติความเป็นมา หอศิลป์
        จุดเริ่มต้น
       ความคิดเรื่องการมีหอศิลป์สำหรับประชาชน ในวงกว้าง เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากในอดีตนโยบายภาครัฐ ยังไม่มีความชัดเจนในการสนับสนุนงาน ด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างจริงจัง และเห็นถึง ความสำคัญของการพัฒนาสติปัญญา อารมณ์ และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็น ส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนา ประเทศ สิ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของแนว ร่วมศิลปินไทยในการสร้างหอศิลปะร่วม สมัย เพื่อให้มีหอศิลป์ที่ทัดเทียมกับสากล และเป็นเกียรติศักดิ์ศรีกับประเทศ รวมทั้ง เพื่อให้สังคมมีแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลป วัฒนธรรม เป็นทางเลือกเพื่อจรรโลงยก ระดับจิตใจควบคู่ไปกับความเจริญก้าวหน้า ทางวัตถุ หอศิลป์สำหรับประชาชนควรเป็น การลงทุนจากภาครัฐ โดยไม่แสวงหาผล กำไรทางธุรกิจ เป็นการลงทุนเพื่อ สนับสนุนการพัฒนาเช่นเดียวกับการสร้าง สาธารณูปโภค การสร้างหอศิลป์เปรียบเป็น สาธารณูปโภคทางสมอง หรือ software ทางปัญญาที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการ สร้าง hardware
การก่อสร้างหอศิลป์บริเวณย่านปทุมวัน ซึ่งเป็นแหล่งรวมของเยาวชนวัยรุ่น จึงเป็น ทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดพวกเขาให้ หันมาสนใจและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ กิจกรรมต่างๆ ทางศิลปวัฒนธรรม ได้แสวง หาความรู้ความเข้าใจ ได้แสดงออก และ พักผ่อนหย่อนใจในเวลาเดียวกัน
รณรงค์เพื่อศิลปะ
โครงการก่อการสร้างหอศิลป์ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ดร.พิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้มีมติร่วมกับคณะกรรมการโครงการ เฉลิมพระเกียรติฯ ศิลปะแห่งรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2538 ให้กรุงเทพมหานครจัดสร้าง หอศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงเทพมหานคร ณ สี่แยกปทุมวัน โดยมีรูปแบบที่ผ่านการ คิดและการตัดสินใจร่วมกัน อย่างไรก็ตาม โครงการต้องมาสดุดหยุดลงเมื่อนายสมัคร สุนทรเวช เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานครคนต่อมา ในปี 2544 และล้มเลิกโครงการหอศิลป์ตามรูปแบบ เดิมให้มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์มากขึ้น พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงจากเดิมกรุงเทพ มหานครเป็นผู้ลงทุนมาเป็นให้เอกชนสร้าง องค์กรด้านศิลปะ ศิลปิน อาจารย์ นักศึกษา และสื่อมวลชน ได้ร่วมกันดำเนินกิจกรรม คัดค้านการระงับโครงการเดิม มีการจัด กิจกรรมเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้ผู้บริหาร กรุงเทพมหานครในสมัยนั้นทบทวนโครงการ รวมทั้งการจัดกิจกรรมวาดภาพเขียนยาว 4 กิโลเมตร ในหัวข้อ ฉันเรียกร้องหอศิลป์ ไม่เอาศูนย์การค้า การดำเนินการทาง กฎหมายต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระงับ โครงการฯ และการจัด "ART VOTE" โหวตเพื่อหอศิลป์
กระทั่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในปี 2547 เครือข่ายศิลปินและประชาชนจึงได้นำโครงการหอศิลป์เข้าหารือ และ ได้รับการพิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการจัดสร้าง หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครตามโครงการเดิม
จุดเริ่มต้นของการมีหอศิลปวัฒนธรรม

       ความคิดเรื่องการมีหอศิลป์สำหรับประชาชนในวงกว้างได้มีขึ้นมาหลายสมัย เนื่องจากในอดีตนโยบายภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนในการสนับสนุนงานด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างจริงจัง และเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาสติปัญญา อารมณ์ และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศ สิ่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของแนวร่วมศิลปินไทยในการสร้างหอศิลป์ร่วมสมัย เพื่อให้มีหอศิลป์ที่ทัดเทียมกับสากล และเป็นเกียรติศักดิ์ศรีกับประเทศ รวมทั้งเพื่อให้สังคมมีแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรม เป็นทางเลือกเพื่อจรรโลงยกระดับจิตใจควบคู่ไปกับความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ หอศิลป์สำหรับประชาชนควรเป็นการลงทุนจากภาครัฐ โดยไม่แสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ เป็นการลงทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเช่นเดียวกับการสร้างสาธารณูปโภค การสร้างหอศิลป์เปรียบเป็น สาธารณูปโภคทางสมอง

       เมื่อย่างก้าวเข้าไปยังภายในหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครนั้นจะพบว่ามีพื้นที่ทั้งหมด 9 ชั้น คือ ชั้น L เป็นแหล่งรวบรวมหนังสือและสื่อความรู้ด้านศิลปะพร้อมบริการอินเตอร์เน็ตและมุมเด็กเล็ก
       ชั้น 1 -4 เป็นส่วนที่เรียกว่า ART-RIUM@BACC
โดยที่ชั้น 1 เป็นส่วนของการออกร้านจากสถาบันการศึกษาทางศิลปะและดนตรีชั้นนำ
       ชั้น 2 เพลิดเพลินกับร้านหนังสือที่คัดสรรพิเศษและแตกต่าง รวมทั้งหนังสือหายาก หนังสือทำมือ และภาพยนตร์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยหอภาพยนตร์แห่งชาติและมูลนิธิ
       ชั้น 3 พบกับงานหัตถกรรมจากโครงการในพระราชดำรง
       ชั้น 4 มีการจัดแสดงภาพถ่ายของสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศ และทัศนศิลป์ร่วมสมัยจากกลุ่มแกลลอรี่ชั้นนำ
       ชั้น 5 สำหรับการประชุม ฉายภาพยนตร์ การแสดงดนตรี ละครเวที อบรม เสวนา และการแสดงต่างๆ
       ชั้น 7-9 ที่จัดแสดงงานทัศนศิลป์
 1.3 ความสำคัญของหอศิลป์
       “หอศิลป์เป็นโครงสร้างพื้นฐานการดำรงชีวิตของชุมชนซึ่งในปัจจุบันถูกมองข้าม มีความจำเป็นและความสำคัญเช่นเดียวกับห้องสมุดหรือพิพิธภัณฑ์ ซึ่งสถาบันเหล่านี้เปรียบเสมือนสาธารณูปโภคที่จะพัฒนาสังคมด้านสมองและจิตใจ

       ศิลปวัฒนธรรมอยู่ใกล้ตัวจนมองไม่เห็น เป็นสิ่งที่สะสมอยู่ และสถิตอยู่ในความนึกคิดของเราตั้งแต่ ก เอ๋ย ก ไก่ มาแล้ว นี่คือความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในห้วงอารยธรรม จากที่เกิดมาไม่มีอะไรในหัว จนถึงทุกภาพที่เคยประจักษ์แก่สายตา ทุกท่วงทำนองเพลงที่จำได้ ช่อฟ้าใบระกา ขุนช้าง ขุนแผน พระลอ เพื่อนแพง แม่พลอย ขวัญเรียม แฮมเล็ต  แบทแมน หรือใครก็ตามที่เรียกกลับมาได้เป็นฉากๆ ศิลปวัฒนธรรมเป็นเรื่องของจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก ความรู้ การมอง การฟัง การสัมผัส การสังเกตเปรียบเทียบ วิจารณ์ สร้างสรรค์หลายๆ อย่าง  ที่จุดประกายความคิด เปิดโลกทัศน์ พัฒนาไปข้างหน้า หรือถ้ามองกลับทางอดีต ทุนวัฒนธรรมที่คนรุ่นก่อนได้สืบสานสร้างสรรค์ให้เป็นเอกลักษณ์ ความคุ้นเคย ศรัทธา ล้วนเกื้อกูล และหนุนความมั่นใจทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น”           

1.4 บทบาทหน้าที่ของหอศิลป์

      “ทุกวันนี้ผู้คนไม่ค่อยมีทางเลือกที่จะไปไหน คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ถูกละเลย รูปแบบของการนันทนาการไม่พอเพียงคนกรุงเทพฯ ขาดอาหารทางสมองและจิตใจ เยาวชนไม่มีทางเลือกที่จะไปใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ความสนุกเพลิดเพลินของเยาวชนไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ที่ศูนย์การค้ากับแหล่งบันเทิงเท่านั้น การมีโอกาสที่จะใช้เวลาในหอศิลป์บ้างก็จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาผู้ที่จะเป็นอนาคตของชาติ เยาวชนจะได้รับและสัมผัสสิ่งที่มีคุณค่าทางสุนทรีย์ สิ่งแปลกใหม่ได้รับการฝึกทักษะในการมอง การสังเกต เข้าใจในกระบวนการสร้างสรรค์ และได้รับความรู้ทางวัฒนธรรม




1.5 ลักษณะสถาปัตยกรรมของหอศิลป์
       รูปทรงของอาคาร ถึงแม้ว่าตัวอาคารจะประกอบด้วยพื้นที่ใช้ สอยที่แยกจากกัน รวมทั้งพื้นที่ร้านค้า แต่ก็มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางสถาปัตยกรรม พื้นที่ภายในพัฒนาจากจุดศูนย์กลางคือ พื้นที่เปิดโล่งทรงกระบอก ซึ่งนำเสนอจุดเด่นแก่สายตาเมื่อเข้าสู่อาคาร พื้นที่เปิดโล่งส่วนกลางนี้ยังนำสายตาสู่ชั้นบนของอาคาร รูปทรงซึ่งมีจุดศูนย์กลางเช่นนี้ทำให้เห็นกิจกรรมในพื้นที่ใช้สอยอันหลากหลาย เนื่องจากอาคารนี้เป็นอาคารเพื่อสาธารณะชนความตื่นเต้นเร้าใจจากการแสดงให้เห็นกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นตัวปลุกให้เกิดการตอบสนองจากชุมชน พื้นที่ส่วนกลางนี้ยังทำให้เกิดความชัดเจนของการเข้าถึงและความยืดหยุ่นของอาคาร อาคารนี้ออกแบบให้เป็นพื้นที่ต่อเนื่องในอนาคตด้วย หากมีความต้องการที่จะปรับเปลี่ยนส่วนร้านค้าบางส่วนให้เป็นพื้นที่ใช้งานทางศิลปะก็สามารถทำได้ไม่ยาก
     1.6  ภาพลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม
       อาคารมีความทันสมัยแต่ขณะเดียวกันก็อิง รูปทรงที่แสดงประวัติหรือเอกลักษณ์ไทย การออกแบบทางสถาปัตยกรรมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นลักษณะรูปร่างและรูปทรง ความเป็นไทยหลายประการ ได้แก่
·         การนำการสอบเข้าของผนังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมไทย มาประกอบการออกแบบรูปทรงของอาคารภายนอก
·         ช่วงหน้าต่างแคบๆ ซึ่งเป็นรูปทรงแบบไทยๆ ได้นำมาดัดแปลงให้เกิดเป็นองค์ประกอบสมัยใหม่ในลวดลายและรูปทรง ทั้งยังเป็นส่วนควบคุมแสงธรรมชาติไม่ให้เข้าสู่อาคารมากเกินไปทางด้านทิศตะวันตก
·         การนำรูปแบบส่วนโค้งของหลังคาทรงไทยและรูปทรงอื่นๆ ของไทย เช่น ท่วงทีท่ารำ มาเป็นส่วนประกอบของหลังคาและแผงกันแดดเหนือหลังคากระจกห้องแสดงนิทรรศการ
·          
·         แนวความคิดการออกแบบภายใน
พื้นที่ศูนย์กลาง
โถงกลางชั้น 1 ได้รับการออกแบบให้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเสนอภาพลักษณ์ของอาคาร และเป็นเสมือนตัวเชื่อมโยงภาพรวมของกิจกรรมทั้งหลาย มีบทบาท กระตุ้นระหว่างงานศิลปะและประชาชนที่สนใจ นับเป็นพื้นที่สาธารณะอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถจัดกิจกรรมหลายหลากให้ปฏิสัมพันธ์กับประชาชน ทำให้สามารถเห็นกิจกรรมต่างๆ ในอาคารนี้ และนำไปสู่งานศิลปะภายในห้องจัดแสดง พื้นที่โถงกลางเป็นทรงกลมในผังพื้นและถูกครอบด้วยช่องแสง (Skylight) เส้นทางสัญจรในส่วนหอศิลปฯโดยพื้นลาด (Ramp) ได้ยึดเอารูปโค้งเวียนรอบพื้นที่โถงกลางนี้ ทำให้สามารถเห็นกิจกรรมต่างๆ ในอาคารนี้

ห้องจัดนิทรรศการ

เน้นความยืดหยุ่น ความหลากหลาย และความน่าสนใจของห้องแสดงงานศิลปะ ห้องแสดงงานศิลปะจึงเป็นส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เกิดความหลากหลายด้านพื้นที่ (Space) ลักษณะ (Characteristic) ในการแสดงผลงานด้านศิลปะ